สืบค้น


วันอังคารที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2555

ธรรมะกับความรัก

ผ่อนคลายความเครียด

7 ขั้นตอนผ่อนคลายความเครียด
เมื่อรู้ตัวว่าเริ่มมีความเครียดและรู้สึกถูกรบกวนจนต้องทำให้ไม่มีความสุข ควรหาวิธีผ่อนคลายที่เหมาะสมให้เร็วที่สุด เพื่อไม่ให้ความเครียดนั้นเป็นอันตรายต่อสุขภาพทางกายและใจของเราซึ่ง กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ได้แนะนำ 7 ขั้นตอนผ่อนคลายความเครียดดังนี้ค่ะ
1.หยุดพักการทำงานหรือกิจกรรมที่กำลังทำอยู่นั้นชั่วคราว ลุกเดินไปดื่มน้ำ เข้าห้องน้ำ ยืน ยืดเส้นยืดสาย สะบัดแข้งสะบัดขา สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก็จะทำให้รู้สึกผ่อนคลาย
2.ทำงานอดิเรกที่สนใจ จะทำให้รู้สึกเพลิดเพลิน สนุก มีความสุข ลืมความเครียดที่มีอยู่ไปขณะหนึ่ง เต้นรำ ฟังเพลง เป็นต้น

3.เล่นกีฬาหรือบริหารร่างกาย ซึ่งสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การเดิน วิ่ง ขี่จักรยาน ฯลฯ โดยเลือกกีฬาที่ชอบหรือถนัด

4.พบปะสังสรรค์กับเพื่อนที่ไว้วางใจ ทำกิจกรรมสร้างสรรค์ร่วมกัน เช่น การรวมกลุ่มพูดคุยเรื่องที่สนุกสนาน อยู่ใกล้ชิดกับเพื่อนที่อารมณ์ดี สร้างอารมณ์ขันให้ตนเอง เพื่อให้เกิดความรู้สึกเพลิดเพลินและอารมณ์ดี

5.พักผ่อนให้เพียงพอ คนที่เครียดมักจะมีอาการนอนไม่หลับ หลับยาก หรือหลับแล้วตื่นกลางดึก ฝันร้าย ทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย การที่จะทำให้นอนหลับในตอนกลางคืนได้นั้น สิ่งสำคัญคือ ควรหลีกเลี่ยงการนอนกลางวัน และอย่ากังวลว่าจะนอนไม่หลับ เข้านอนเป็นเวลา และหากยังไม่ง่วงก็ให้หากิจกรรมบางอย่างทำไปก่อน เช่น อ่านหนังสือ เขียนหนังสือ ฟังวิทยุ เป็นต้น

6.ปรับปรุงสิ่งแวดล้อมใกล้ตัวให้เหมาะสม เช่น เก็บข้าวของให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ทำความสะอาดบ้านและที่ทำงานให้ดูดีขึ้น ซึ่งหากสิ่งแวดล้อมดูสะอาดเรียบร้อยและสวยงามน่าอยู่แล้ว ย่อมทำให้เกิดบรรยากาศที่ดีและช่วยลดความเครียดลงได้

7.เปลี่ยนบรรยากาศชั่วคราว ในบางครั้งเราอาจเคร่งเครียดกับงานหรือกิจกรรมบางอย่างมากๆ อาจทำให้เกิดความรู้สึกเบื่อหน่าย ซ้ำซาก จำเจเกินไปทำให้ไม่มีความสุข ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงบรรยากาศชั่วคราว
ด้วยการชักชวนคนในครอบครัวหรือเพื่อนฝูงออกไปเที่ยวชมธรรมชาติ หลีกหนีความจำเจไปชั่วคราว หยุดงานชั่วขณะ พักผ่อน เดินทางไปสถานที่ที่ทำให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลายและ
เพลิดเพลินระยะหนึ่ง จะทำให้ความตึงเครียดลดลง และพร้อมที่จะลุยงานต่อไปได้ใหม่
เมื่อเริ่มรู้สึกตัวว่าความเครียดกำลังคุกคาม อย่านิ่งนอนใจเชียวนะคะ เพราะนอกจากจะไม่เป็นผลดีต่อตัวเองแล้ว เดี๋ยวจะทำให้คนรอบข้างพลอยเครียดตามไปด้วยค่ะ




ขอขอบคุณ ที่มา : อ้างอิง : นิตยสารชีวจิต, http://www.healthsquare.org

Michel Telo - Ai Se Eu Te Pego

9 กลยุทธ์ในการดำเนินชีวิต



ชีวิตที่จะประสบความสำเร็จไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องอาศัยเคล็ดลับขั้นตอนต่าง ๆ มากมาย  และเป็นความจริงที่ว่าเราเป็นผู้กำหนดชะตาชีวิตของเราเอง เป็นคนเลือกเส้นทางชีวิต และนั่นคือสิ่งที่ยากที่สุด เพราะไม่มีใครรู้ว่าเส้นทางที่กำลังเดินนั้นจะนำเราไปสู่เป้าหมายที่เราต้อง การรึเปล่า ถ้าเป็นเช่นนั้น การที่เรารู้กฎเกณฑ์การใช้ชีวิต จะช่วยให้เราได้รับประโยชน์สูงสุดจากเวลาทุก ๆ นาที เพราะกฎเหล่านี้เปรียบเสมือนแผนที่ชีวิตในการใช้เวลา เพื่อเลือกลงมือทำในสิ่งที่สำคัญตรงตามเป้าหมายในชีวิตของเรา 

กฎข้อ 1  เราคือ คนเลือกที่จะเป็นผู้ประสบความสำเร็จ หรือผู้ที่ล้มเหลว         ถ้าเราสังเกตดูดี ๆ จะพบกับความจริงที่ว่า ในชีวิตเรามีเส้นทางให้เราเลือกเดินเพียง 2 ทางเท่านั้น คือ เส้นทางที่นำไปสู่ความสำเร็จ กับเส้นทางที่นำเราไปสู่ความล้มเหลว สำหรับเส้นทางสู่ความสำเร็จไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ และไม่มีคำว่า " บังเอิญ " สำหรับความสำเร็จ แต่ต้องการอาศัยความพากเพียรอย่างหนักและต่อเนื่อง ซึ่งคนส่วนใหญ่ก็มักจะยอมแพ้เสียก่อน ดังนั้น ถ้าเราเลือกเส้นทางที่นำเราไปสู่ความสำเร็จ วิธีที่ง่ายที่สุด คือ ศึกษาว่า ผู้ที่ประสบความสำเร็จเขามีเส้นทางในการดำเนินชีวิตอย่างไร เช่น  ถ้าอยากเป็นนักธุรกิจ ก็ต้องมีการศึกษาเก็บข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจที่เราทำอย่างละเอียดลุ่มลึก เป็นต้น  สำหรับบางคนที่คิดว่าตัวเองได้พยายามแล้วแต่ก็ยังล้มเหลวอยู่   ขอให้ไตร่ตรองประเด็นที่จะกล่าวถึงอย่างละเอียด แล้วท่านเองคือผู้เลือกที่จะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว 
ลักษณะของผู้ที่ล้มเหลว
1. มีข้อมูลน้อยเกี่ยวกับเป้าหมาย    เช่น ในการนำสินค้ามาขาย จำเป็นต้องมีความรู้ด้านการตลาด  รู้จักกลุ่มเป้าหมาย  รู้แนวโน้มของเศรษฐกิจ  เพราะถ้าขาดความรู้ ขาดข้อมูลที่ถูกต้อง ทันสมัย โอกาสที่จะล้มเหลวก็ย่อมเกิดขึ้นได้ง่าย
2.    ขาดทักษะในการเข้าใจผู้อื่น  ซึ่งมีกฎเกณฑ์ตายตัวที่มนุษย์ทุกคนรู้สึกเช่นเดียวกัน ดังนี้
         1. สิ่งที่มนุษย์ทุกคนกลัวมากที่สุด  คือ กลัวการถูกปฏิเสธ  ฉะนั้นเมื่อคนที่เราต้องคบค้าติดต่อ ขออะไรแล้วเราให้ได้ยอมได้ก็ควรให้ เพื่อรักษามิตรภาพเอาไว้
         2. 
กฎข้อ 2  เราคือผู้สร้างประสบการณ์ให้ตัวเราเอง
         เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าสถานการณ์จะเลวร้ายขนาดไหน  เราก็ยังคงเป็นผู้เลือกที่จะสุขหรือทุกข์ต่อเหตุการณ์หนึ่ง ๆ ฉะนั้น ถ้าเราอยากมีความสุข เราจะไม่ปล่อยให้สถานการณ์ภายนอกควบคุมพฤติกรรม ความคิด ความรู้สึกของเรา เพราะเราคนเดียวเท่านั้นที่มีสิทธิ์เลือกที่จะ  " สุข " หรือ " ทุกข์ "  
         ดังนั้น เราทุกคนมี เสรีภาพในการเลือก บนโลกใบนี้มีทางเลือกให้เราเลือกมากมาย แต่คนส่วนใหญ่มักคิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีการเปลี่ยนแปลง จึงไม่กล้าที่จะเลือกเส้นทางใหม่ ๆ สร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้ชีวิต  ซึ่งความจริงแล้วเราสามารถเลือกได้ตลอด เช่น ในหนึ่งวัน เราก็เลือกได้ว่าจะไปไหน ทำอะไร ให้ความสนใจอะไร  สมมติถ้าเราอยู่กับคน 100 คนเราก็เลือกได้ว่าจะเลือกไว้วางใจใคร ฟังใคร ไม่สนใจใคร จะเห็นด้วย หรือจะคัดค้านในใจ เป็นต้น
 
กฎข้อ 3 ปฏิกิริยาต่างตอบแทน
         อาจมีคนสงสัยว่า  เราจะเลือกประสบการณ์ของเราได้จริง ๆ หรือ คำตอบก็อยู่ในกฎข้อนี้  คือ  ขึ้นอยู่กับหลักต่างปฏิบัติ ต่างตอบแทนเท่าเทียมกัน  เช่น เมื่อมีคนพูดจาไม่ดีกับเรา แล้วเราพูดกับเขาอย่างไร  เราเลือกที่จะโต้ตอบในแบบเดียวกับเขา หรือ เลือกที่จะพูดอ่อนหวานกลับไป  แน่นอนประสบการณ์ที่เราเลือก ก็คือผลจากการกระทำของเรานั่นเอง  ดังนั้น ถ้ามองดี ๆ  ตัวเราเองเป็นคนเชื้อเชิญปฏิกิริยาภายนอก เช่น เราไม่ยิ้มให้  เขาก็ไม่ยิ้มให้เรา เป็นต้น  และแต่ละคนก็จะมีวิธีการปฏิบัติกับผู้อื่น ที่แตกต่างกันไป  เพื่อช่วยให้หายสงสัยว่าทำไมโลกจึงได้ปฏิบัติกับคุณในแบบต่าง ๆ ขอยกตัวอย่างคนประเภทต่าง ๆ  เช่น
         • คนที่คิดว่าตัวเองสำคัญที่สุด  มักจะเป็นคนไม่มีน้ำใจ ซึ่งทำให้เพื่อน ๆ ไม่ค่อยชอบ  และเมื่อไหร่ที่คนประเภทนี้พบกับความทุกข์ก็จะไม่มีใครเข้ามาให้กำลัง เพราะท่านไม่เคยใส่ใจ หรือใยดีใคร
         • คนที่คิดว่าตัวเองไม่ได้รับการไว้วางใจจากคนอื่น ๆ  ซึ่งเป็นไปได้ว่า คนเหล่านี้ทำตัวเป็นคนอ่อนแออยู่ตลอดเวลา บ่นถึงปัญหาส่วนตัว ร้องไห้เสียใจ เมื่อคนอื่นเห็นก็เกิดความไม่ไว้วางใจ จึงไม่มอบหมายงานให้เรา เพราะพฤติกรรมของเราเองคือตัวกำหนด
         • คนที่คิดว่าตัวเองไม่เคยได้รับการช่วยเหลือ คนเหล่านี้มักมีลักษณะ เป็นพวกหนีปัญหาไปวัน ๆ  ใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อย ไม่คิดแก้ปัญหาของตัวเองอย่างจริงจัง  ซึ่งตามปกติคนเราจะช่วยเหลือคนที่ช่วยเหลือตัวเองอย่างที่สุดก่อน ดังนั้น ถ้าเรายังไม่สามารถดึงศักยภาพในตัวมาใช้แก้ปัญหาแบบสุด ๆ ก็อย่าหวังได้รับความช่วยเหลือจากผู้อื่น และยังใช้ชีวิตไปเรื่อยเปื่อย หรือหนีปัญหาไปวัน ๆ 

กฎข้อ 4  จะแก้ไขปัญหาได้ต่อเมื่อเรายอมรับความจริงได้         ทางเดียวที่จะแก้ปัญหาได้ คือ การยอมรับว่าเกิดปัญหา ซึ่งคนส่วนใหญ่มักไม่กล้ามองปัญหา ไม่กล้ายอมรับว่าตัวเองคือสาเหตุของปัญหา นอกจากปัญหาจะไม่ได้รับการแก้ไขแล้ว ก็เหมือนยิ่งไปสร้างปมปัญหาใหม่เพิ่มขึ้นอีก ความทุกข์นั้นก็ยังแต่จะก่อให้เกิดความทุกข์ต่อไป เช่น เป็นผู้บริหารแต่ไม่ยอมรับว่า ตัวเองบริหารงานไม่เก่ง ก็ย่อมทำให้บริษัทขาดทุน แต่ถ้ายอมรับได้ ก็จะเกิดทางแก้ไข อาจไปจ้างมืออาชีพมาทำแทน เป็นต้น  ดังนั้น การกล้าที่จะยอมรับความจริง คือ การเริ่มต้นแก้ปัญหา 

กฎข้อ 5  ชีวิตนี้ให้รางวัลกับการกระทำเสมอ
         มีคนจำนวนมากที่รู้สึกว่าตัวเอง เป็นนักคิดที่ชาญฉลาดแต่ทำไมชีวิตยังอยู่ห่างจากเป้าหมายที่ต้องการเหลือ เกิน นั่นเป็นเพราะ คุณไม่เคยลงมือทำ และเป็นความจริงที่ว่า โลกใบนี้ไม่สนใจคนที่มีความคิดดี แต่จะสนใจการกระทำที่ดีมากกว่า  ดังนั้น ถ้าคุณมีความคิดดี ๆ เมื่อไหร่การลงมือทำ เป็นหนทางเดียวที่จะทำให้คุณได้ในสิ่งที่คุณต้องการ          
         สำหรับบางคนที่คิดอย่างรอบคอบแล้ว แต่ยังไม่มีแรงหรือกำลังมากพอที่จะสานฝันให้กลายเป็นจริง ทางแก้ คือ ให้ถามตัวเองทุกวันว่า ตอนนี้อายุเท่าไหร่แล้ว ? เหลือเวลาในชีวิตอีกกี่ปี ?  ถ้าไม่รีบลงมือตอนนี้อาจไม่ทันการณ์ ? 
         และถ้าคุณคิดว่าสิ่งที่จะทำมันยาก จึงทำให้คุณเกิดความกลัว ไม่กล้าลงมือทำ แสดงว่าคุณยังขาดความเข้าใจว่า   ชีวิตนี้เป็นเรื่องยาก  แต่ไม่มีสิ่งใดที่ยากเกินความสามารถถ้าคุณปรารถนาสิ่งนั้นจริง ๆ 

กฎข้อ 6  ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับมุมมองของเรา ให้รับรู้อย่างเดียว
         เราเป็นคนเลือกที่จะให้ความหมายกับชีวิตของเราเอง เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเห็น หรือคิด เป็นเพียงสิ่งที่มนุษย์สมมติขึ้น  และความทุกข์จริง ๆ ก็ไม่มี มีแต่ความคิดของเราที่ตีความเหตุการณ์ต่าง ๆ  ดังนั้น ถ้าเราอยากให้ชีวิตเราเต็มไปด้วยความสุข เราก็เลือกมองแต่เรื่องดี ๆ งาม ๆ แทนการมองโลกในแง่ร้าย ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่คนส่วนใหญ่ใช้ตีความต่อสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น  ซึ่งมีวิธีการสร้างมุมมองแบบ Positive ง่าย ๆ ดังนี้
         • เขียนบันทึกสิ่งดีงามที่เกิดขึ้นกับคุณในแต่ละวัน ถึงแม้จะเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ตาม เช่น ตื่นมารู้สึกดีที่วันนี้ ฝนไม่ตก เป็นต้น  
         • ค้นหาความหมายใหม่ ๆ ให้กับชีวิตอยู่เสมอ ๆ  ซึ่งจะช่วยทำให้เรามีพลังชีวิตมากขึ้นอีกด้วย  เช่น มีชีวิตอยู่เพื่อเป็นความหวังให้พ่อแม่  เป็นต้น  

กฎข้อ 7  ชีวิตต้องการการบริหารจัดการจะปล่อยไปตามชะตากรรมไม่ได้
         คนส่วนใหญ่มักตามแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน โดยมองข้ามความจริงที่ว่า ชีวิตต้องการการจัดการ  ควรมีการวางแผนทั้งระยะสั้นและระยะยาว  เพื่อป้องกันปัญหาไว้ล่วงหน้า  ในการวางแผนเราต้องพูดคุยกับผู้จัดการชีวิตของเรา ซึ่งก็คือ ตัวเราเอง โดยการตั้งคำถามกับตัวเอง ดังนี้
         • เราได้เคยค้นหาและดึงเอาศักยภาพสูงสุดของเราออกมาใช้เพื่อก่อประโยชน์หรือยัง  ?
         • เราเคยหาทางสร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้กับชีวิตหรือไม่ ?
         • เราเป็นคนที่อดทนต่อปัญหาอย่างเดียว หรือแก้ปัญหาได้ด้วย ?
ซึ่ง เป็นธรรมดาที่คนที่กล้าแก้ปัญหาต้องกล้าที่จะตัดสินใจและรับผิดชอบต่อผลที่ จะเกิดขึ้น จึงเป็นสาเหตุให้คนส่วนใหญ่เลือกที่จะอยู่สบาย ๆ ซึ่งก็หมายความว่า คุณเลือกที่จะเป็นผู้แพ้ แต่ถ้าคุณพอใจกับสถานะดังกล่าวก็ไม่มีใครสามารถไปเปลี่ยนแปลงคุณได้ 

กฎข้อ 8  พลังอำนาจของการให้อภัย
         ในบรรดาอารมณ์ทั้งหมดของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็น  ความรู้สึกเบื่อ  ความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ เป็นต้น  ความโกรธ คืออารมณ์ที่ทรงพลังและทำให้มนุษย์เป็นทุกข์มากที่สุด ซึ่งเปรียบเสมือนการจุดไฟเผาผลาญตัวเอง จะรู้สึกร้อนรนอยู่ตลอดเวลา ทำให้ผู้ที่ตกอยู่ในกองเพลิงแห่งความโกรธเกลียดอาฆาต หมดพลังงานไปอย่างเปล่าประโยชน์  ซึ่งถ้ายังไม่สามารถออกจากกองไฟแห่งความอาฆาตนี้ได้  ในที่สุดจะพบว่าคุณได้เผาผลาญโอกาสแห่งความสำเร็จของคุณหมดไปแล้ว ตอนนี้เหลือเพียงที่ว่างสำหรับความล้มเหลวเท่านั้น  ดังนั้น ถ้าคุณไม่อยากทำลายชีวิตตัวเองด้วยความโกรธ ก็จงมอบความรักให้กับคนอื่น ๆ บ้าง  ก็เพราะ ความอาฆาตพยาบาท เป็นสิ่งที่ละวางได้ยากมาก การให้อภัยจึงเป็นหลักการสำคัญสำหรับความเป็นผู้นำ 

กฎข้อ 9  คนเราจะได้อะไรมาอย่างน้อย ๆเราต้องรู้จักสิ่งนั้นก่อน ต้องเรียกมันให้ถูกก่อน
         คนที่จะประสบความสำเร็จได้ขั้นแรก ต้องรู้จัดตัวเองเป็นอย่างดี  จึงจะรู้ว่า ตัวเองต้องการอะไรจากชีวิต  ในการสร้างอนาคตให้ตัวเอง จำเป็นต้องสร้างเป็นภาพ ต้องเห็นภาพตัวเองในอนาคตให้ได้  จึงจะรู้ว่าตัวเองต้องการอะไร ซึ่งความต้องการหรือเป้าหมายในชีวิตของแต่ละคนย่อมแตกต่างกันไป บางคนอยากเป็นนักการเมือง บางคนอยากเป็นเจ้าของโรงแรม เป็นต้น  สำหรับการหาcore  value มีอยู่ 2 ประเภท คือ ตามกระแส หรือทวนกระแส  ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ดังนั้น หัวใจสำคัญที่จะทำให้คนประสบความสำเร็จ คือ การรู้จักตัวเอง เพราะถ้าคุณวางแผนชีวิตอย่างดี แผนนั้นอาจทำให้คุณหลงทางเป็น สิบ ๆ ปีก็ได้ถ้าคุณขาดความเข้าใจตัวเองสิ่งที่มนุษย์ทุกคนต้องการมากที่สุด  คือ ต้องการเป็นที่ยอมรับให้เกียรติจากผู้อื่น  ต้องการ รู้สึกว่าตัวเองมีความสำคัญ และเคารพในความเป็นมนุษย์  
         3. มนุษย์ทุกคนมองทุกเรื่องจากมุมมองของประโยชน์ส่วนตัว ซึ่งไม่ใช่เฉพาะเรื่องเงินทอง อาจเป็นเรื่องอุดมการณ์ ดังนั้น เมื่อเราต้องการให้ใครทำงานอะไร ต้องชี้ให้เขาเห็นว่าจะได้รับประโยชน์อะไรจากการทำงานนั้น ๆ
         4. มนุษย์ทุกคนจะทำงานได้เต็มที่ต่อเมื่อเข้าใจในสิ่งที่จะต้องทำ เพราะถ้าเขาไม่เข้าใจต่อให้เขาอยากทำก็ทำไม่ได้ ก่อให้เกิดความขัดข้องใจ ดังนั้น วิธีการให้งานควรบอกรายละเอียดให้ชัดเจนเพราะลูกน้องไม่ว่าจะเก่งเพียงไร ก็ไม่อาจอ่านใจเจ้านายได้ และลึก ๆ ไม่มีลูกน้องคนไหนไม่อยากให้งานออกมาไม่ดี 
         5. เวลามองคนให้มองในเรื่องคุณภาพ มองที่ความรู้ความสามารถ  เราไม่ควรมองคนแค่ภายนอกหรือชาติวงศ์ตระกูล  
         6. คนเรามักไว้วางใจบุคคลที่รักชอบพอเรา  เวลาเราไม่เกลียดใครเขาก็จะไว้วางใจเรา แต่เมื่อไหร่ที่เรารู้สึกอิจฉาริษยา อีกฝ่ายก็ไม่ไว้ใจเรา เพราะจิตอีกดวงหนึ่งสามารถรู้สึกได้  บางครั้งไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้ แต่จะมีความรู้สึกอึดอัดเกิดขึ้น
         7. มองคนให้ลึกถึงจิตใจ โดยใช้ความรู้สึกของเราเป็นเครื่องตรวจสอบ เพราะมนุษย์ทุกคนมีหน้ากาก หลายชั้น   ดังนั้นเราไม่ควรมองคนแค่ภายนอก เพราะคนที่หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสพูดจาดี แต่อาจมีจิตใจโหดร้ายก็ได้หรือบางคนหน้าตาเรียบเฉย แต่ในใจเขาอาจดีก็ได้ ดังนั้น เราต้องมองคนที่จิตใจมิใช่เพียงหน้าตา

Gustavo Lima - Balada ชอบอ่ะ

สุขภาพจิตกับนิสัย

แนวคิดเพื่อสุขภาพจิตที่ดี

สุขภาพจิต

สุขภาพจิต คือ สภาพชีวิตที่เป็นสุข มีอารมณ์มั่นคงสามารถปรับตัว ให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา มีสมรรถภาพในการ 
ทำงาน และอยู่ร่วมกับผู้อื่นด้วยความพอใจ สุขภาพไม่ว่าจะเป็นสุขภาพกายหรือสุขภาพจิตเป็นสิ่งสำคัญและ จำเป็นสำหรับทุกชีวิตในการดำรงอยู่อย่างปกติ เป้าหมายของการเรียนรู้ วิชาสุขภาพจิต ก็คือ การทำให้ชีวิตมีความสุข ความพอใจ ความสมหวัง ทั้งของตนเองและของผู้อื่น 
            ความสำคัญของสุขภาพจิต 
"สุขภาพจิต" มีผลต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์หลายด้าน ดังนี้ 
1. ด้านการศึกษา ผู้ที่สุขภาพจิตดีย่อมมีจิตใจปลอดโปร่ง สามารถศึกษาได้สำเร็จ 
2. ด้านอาชีพการงาน ผู้ที่สุขภาพจิตดีย่อมมีกำลังใจต่อสู้อุปสรรค ไม่ท้อแท้ เบื่อหน่าย ทำงานก็บรรลุผลสำเร็จ 
3. ด้านชีวิตครอบครัว คนในครอบครัวสุขภาพจิตดี ครอบครัวก็สงบสุข 
4. ด้านเพื่อนร่วมงาน ผู้ที่สุขภาพจิตดีย่อมไม่เป็นที่รังเกียจ ปรับตัวเข้ากับผู้อื่นได้ดี 
5. ด้านสุขภาพร่างกาย ถ้าสุขภาพจิตดีร่างกายก็สดชื่น หน้าตายิ้มแย้ม สมองแจ่มใส เป็นที่สบายใจแก่ผู้พบเห็น อยากคบค้าสมาคมด้วย 
            ลักษณะของผู้ที่มีสุขภาพจิตดี 
ผู้ที่มีสุขภาพจิตดีมีลักษณะหลายประการ ดังนี้ 
1. เป็นผู้ที่มีความสามารถและความเต็มใจที่จะรับผิดชอบอย่าง เหมาะสมกับระดับอายุ 
2. เป็นผู้ที่มีความพอใจในความสำเร็จจากการได้เข้าร่วม กิจกรรมต่าง ๆ ของกลุ่ม โดยไม่คำนึงว่าการเข้าร่วมกิจกรรมนั้น จะมีการถกเถียงกันมาก่อนหรือไม่ก็ตาม 
3. เป็นผู้เต็มใจที่จะทำงานและรับผิดชอบอย่างเหมาะสมกับบทบาท หรือตำแหน่งในชีวิตของเขา แม้ว่าจะทำไปเพื่อต้องการตำแหน่งก็ตาม 
4. เมื่อเผชิญกับปัญหาที่จะต้องแก้ไข เขาก็ไม่หาทางหลบเลี่ยง 
5. จะรู้สึกสนุกต่อการขจัดอุปสรรคที่ขัดขวางต่อความสุขหรือ พัฒนาการ หลังจากที่เขาค้นพบด้วยตนเองว่า อุปสรรคนั้นเป็นความจริง ไม่ใช่อุปสรรคในจินตนาการ 
6. เป็นผู้ที่สามารถตัดสินใจด้วยความกังวลน้อยที่สุด มีความรู้สึกขัดแย้งในใจและหลบหลีกปัญหาน้อยที่สุด 
7. เป็นผู้ที่สามารถอดได้ รอได้ จนกว่าจะพบสิ่งใหม่ หรือ ทางเลือกใหม่ที่มีความสำคัญหรือดีกว่า 
8. เป็นผู้ที่ประสบผลสำเร็จด้วยความสามารถที่แท้จริง ไม่ใช่ความสามารถในความคิดฝัน 
9. เป็นผู้ที่คิดก่อนทำ หรือมีโครงการแน่นอนก่อนที่จะปฏิบัติ ไม่มีโครงการที่ถ่วงหรือหลีกเลี่ยงการกระทำต่าง ๆ 
10. เป็นผู้ที่เรียนรู้จากความล้มเหลวของตนเองแทนที่จะหา ข้อแก้ตัวด้วยการหาเหตุผลเข้าข้างตนเอง หรือโยนความผิดให้แก่คนอื่น 
11. เมื่อประสบผลสำเร็จ ก็ไม่ชอบคุยโอ้อวดจนเกินความเป็นจริง 
12. เป็นผู้ที่ปฏิบัติตนได้สมบทบาท รู้ว่าจะปฏิบัติอย่างไรเมื่อถึงเวลา ทำงาน หรือจะปฏิบัติอย่างไรเมื่อถึงเวลาเล่น 
13. เป็นผู้ที่สามารถจะปฏิเสธต่อการเข้าร่วมกิจกรรมที่ใช้เวลา มากเกินไปหรือกิจกรรมที่สวนทางกับที่เขาสนใจแม้ว่ากิจกรรมนั้นจะทำให้ เขาพอใจได้ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งก็ตาม 
14. เป็นผู้ที่สามารถตอบรับที่จะเข้าร่วมกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ สำหรับเขา แม้ว่ากิจกรรมนั้นจะไม่ทำให้เขาพึงพอใจก็ตาม 
15. เป็นผู้ที่จะแสดงความโกรธออกมาโดยตรง เมื่อเขาได้รับ ความเสียหายหรือถูกรังแก และจะแสดงออกเพื่อป้องกันความถูกต้อง ของเขาด้วยเหตุด้วยผลการแสดงออกนี้จะมีความรุนแรงอย่างเหมาะสม กับปริมาณความเสียหายที่เขาได้รับ 
16. เป็นผู้ที่สามารถแสดงความพอใจออกมาโดยตรงและจะแสดงออก อย่างเหมาะสมกับปริมาณและชนิดของสิ่งที่ก่อให้เกิดความพึงพอใจ 
17. เป็นผู้ที่สามารถอดทน หรืออดกลั้นต่อความผิดหวัง และ ภาวะความคับข้องใจทางอารมณ์ได้ดี 
18. เป็นผู้ที่มีลักษณะนิสัยและเจตคติที่ก่อรูปขึ้นอย่างเป็นระเบียบ เมื่อเผชิญกับสิ่งยุ่งยากต่าง ๆ ก็สามารถจะประนีประนอมนิสัยและเจตคติ เข้ากับสถานการณ์ที่ยุ่งยากต่าง ๆ ได้ 
19. เป็นผู้ที่สามารถระดมพลังงานที่มีอยู่ในตัวออกมาใช้ได้อย่างทันที และพร้อมเพรียง และสามารถรวมพลังงานนั้นสู่เป้าหมายอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อความสำเร็จของเขา 
20. เป็นผู้ที่ไม่พยายามที่จะเปลี่ยนแปลงความจริงซึ่งชีวิตของเขา จะต้องดิ้นรนต่อสู้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด แต่เขาจะยอมรับว่าบุคคลจะต้องต่อสู้ กับตนเอง ฉะนั้นเขาจะต้องมีความเข้มแข็งให้มากที่สุด และใช้วิจารณญาณ ที่ดีที่สุด เพื่อจะผละจากคลื่นอุปสรรคภายนอก
            ประโยชน์ของการมีสุขภาพจิตดี 
1. ช่วยให้สามารถแก้ไขปรับปรุงการดำรงชีวิตให้อยู่ในสังคมได้อย่างราบรื่น 
เหมาะสม มีความสุข รู้จักจุดอ่อน จุดเด่นของตนเอง 
2. ช่วยปรับปรุง แก้ไข และป้องกันความคับข้องใจ 
3. ช่วยให้เกิดความเข้าใจตนเองและผู้อื่น รู้จิตใจ ความรู้สึก อารมณ์ของคนอื่นได้ 
4. ช่วยให้สามารถพัฒนาอาชีพ การงาน และครอบครัว 

สาขาต่างๆของจิตวิทยา


สาขาต่างๆของจิตวิทยา 

จิตวิทยาคลินิก


        Ψ  จิตวิทยาคลินิกจะมีจุดที่เน้นอยู่ 2 ส่วน คือ การทำแบบทดสอบทางจิตวิทยา 
(ระดับ A คือนักจิตวิทยาสาขาอื่นไม่สามารถทำได้เช่น rorchach WAIS เป็นต้น) และทำจิตบำบัด 
การเรียนจะเกี่ยวกับอาการผิดปกติทางจิต ทั้งเรื่องโรค พยาธิสภาพ การใช้เครื่องมือหรือแบบวัดทางจิต เพื่อใช้ในการตรวจเป็นข้อมูลประกอบในการวินิจฉัยโรคทางจิต การทำจิตบำบัด 
        งาน - ตรงตามสายงานคือเป็นนักจิตวิทยาคลินิกในโรงพยาบาล เพื่อทำการประเมินและบำบัดทางจิตแก่ผู้ป่วยทางจิตเวช เป็นนักจิตวิทยาตามสถานพินิจหรือศาล เพื่อทำการประเมินสภาพจิตของผู้ต้องหา รวมทั้งทำกิจกรรมหรือบำบัดทางจิตแก่ผู้ต้องขัง ตอนนี้ทางจิตวิทยาคลินิกมีการสอบใบประกอบโรคศิลปแล้ว ซึ่งทำให้คาดว่าน่าจะสามารถเปิดคลินิกบำบัดได้เช่นเดียวกับในต่างประเทศ และจะทำให้สามารถรับงานอิสระได้มากขึ้น


จิตวิทยาอุตสาหกรรมฯ


        Ψ  จิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การ (Industrial and Organizational Psychology) เป็นศาสตร์ที่ศึกษาจิตวิทยา เพื่อนำมาประยุกต์กับการทำงานและนำมาซึ่งความเป็นอยู่ที่ดีของบุคลากรทุกระดับในบริบทของการทำงาน ยังผลให้องค์การสามารถบรรลุเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของประเทศไทยที่จำเป็นต้องพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เพื่อเพิ่มคุณภาพประสิทธิภาพ และผลิตภาพ(ที่มา:http://www.psy.chula.ac.th/psy/files/ProgramIO.pdf) 
        Ψ  เรียนตั้งแต่คัดเลือกคนเข้าทำงานให้เหมาะสม จะมีคำที่เป็นคติของจิตอุตฯว่า put the right man on the right job อีกส่วนก็คือการฝึกอบรมพนักงาน คือเรียนเกี่ยวกับการพยายามให้งานที่จะออกมานั้นมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยคำนึงถึง ทรัพยากรมนุษย์ ด้วยอะค่ะ 
งานที่ตรงสาขาที่สุดก็เลยเป็นตำแหน่งฝ่ายบุคคล หรือเจ้าหน้าที่ฝึกอบรมตามบริษัทหรือโรงงานต่างๆ


จิตพัฒนาการ 


        Ψ  จิตพัฒนาการจะเน้นที่การส่งเสริมพัฒนาการของบุคคลในทุกช่วงวัยให้เป็นไปตามพัฒนาการของและช่วงวัย ซึ่งมักจะมุ่งเน้นไปที่กลุ่มเด็กและวัยรุ่น เรียนพัฒนาการทุกช่วงวัย ทั้งทางร่างกาย จิตใจ ความต้องการทางสังคม การใช้ชีวิต ตั้งแต่อยู่ในท้องแม่, อุแว้ๆ ออกมา เป็นทารก เป็นเด็ก เป็นวัยรุ่น, ผู้ใหญ่จนกระทั่งแก่ตาย 
        Ψ  จิตวิทยาพัฒนาการเป็นเสมือนสาขาใหญ่ของจิตวิทยาที่เรียนเกี่ยวกับพัฒนาการของมนุษย์ในทุกช่วงวัย ซึ่งสามารถศึกษาต่อเฉพาะช่วงวัยได้อีกเช่น จิตวิทยาเด็ก จิตวิทยาวัยรุ่น เป็นต้น สาขานี้เกิดจากแนวความคิดที่จะอธิบายพฤติกรรม จิตใจ รวมทั้งความสามารถต่างๆของมนุษย์ในแต่ละช่วงวัย และเพื่อที่หาหาแนวทางที่จะทำให้มนุษย์มีพัฒนาการที่เหมาะสมในแต่ละช่วงวัยของตนเอง


จิตวิทยาสังคม


        Ψ  จิตวิทยาสังคม เป็นวิชาที่ศึกษาพฤติกรรมทางสังคมของมนุษย์ โดยศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างกัน เพื่อทำความเข้าใจอิทธิพลของสภาพแวดล้อมต่างๆ ที่มีผลต่อพฤติกรรมของมนุษย์(ที่มา: http://www.sau.ac.th/main/Subject/pc102/lesson1.pdf )


จิตชุมชน


        Ψ  จิตวิทยาชุมชนนั้นแยกออกมาจากจิตวิทยาคลินิกอีกทีแต่จะเป็นการทำงานในทางป้องกันมากกว่ารักษา จิตวิทยาชุมชนจะมีลักษณะที่พิเศษอีกอย่างหนึ่งคือจะเป็นเหมือนจุดกึ่งกลางระหว่างจิตวิทยาคลินิก จิตวิทยาอุตสาหกรรม และจิตวิทยาสังคม งานที่ส่วนใหญ่มักเข้าไปทำคือการฝึกอบรม


จิตวิทยาการปรึกษา


        Ψ  จิตวิทยาการปรึกษา (Counseling Psychology) เป็นศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับ การปรึกษาเชิงจิตวิทยา (Counseling) ซึ่งเป็นกระบวนการที่มุ่งให้ผู้มีปัญหาได้ทำความเข้าใจกับปัญหาของตน และมองเห็นแนวทางในการแก้ปัญหาได้ด้วยตัวเอง โดยนักจิตวิทยาการปรึกษา (Counselor) มีหน้าที่เป็นผู้เอื้อให้ผู้มีปัญหาได้เข้าใจปัญหาของตนอย่างชัดเจนที่สุด นักจิตวิทยาการปรึกษาจะไม่เข้าไปบงการ แนะนำ หรือ แทรกแซง ผู้รับบริการ แต่ละช่วยให้เค้าสามารถจัดการปัญหาได้ด้วยตัวเอง 
        ผู้เข้ารับบริการการปรึกษาเชิงจิตวิทยาจะได้รับประโยชน์ ในแง่ของการเกิดความเข้าใจในตนเอง และสามารถวางแนวทางการดำเนินชีวิตตนเองได้อย่างเหมาะสม สามารถเผชิญสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตได้อย่างมั่นคง และสามารถจัดการปัญหาของตนได้อย่างสอดคล้องและเหมาะสมกับความเป็นจริง และยังช่วยให้ค้นพบศักยภาพได้อย่างเต็มที่ ในการพัฒนาตนเองไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ ขยายทัศนะการสองโลก และชีวิตก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงตนเองในทางที่ดี 
ระ (ที่มา: http://www.psy.chula.ac.th/psy/files/intro_counseling.pdf )


จิตวิทยาการแนะแนว


        Ψ  ก็เรียนไปทางเป็นอาจารย์แนะแนวในโรงเรียนอะค่ะ เรื่องที่เรียนเช่น หลักการแนะแนวในโรงเรียนเพื่อพัฒนานักเรียน /ความเข้าใจเกี่ยวกับเด็กที่มีความต้องการพิเศษ เพื่อให้สามารถจำแนก ช่วยเหลือและพัฒนานักเรียนได้อย่างเหมาะสม/วิธีการและเทคนิคต่าง ๆ ที่ใช้ในงานแนะแนว
 

คาราบาว vs เท่ง, โหน่ง,หมํ่า // ฮา

เพลงฉ่อย เรื่อง พยัญชนะ

ความก้าวร้าวในวัยเด็ก

header


เด็กก้าวร้าวรุนแรง 
เด็กก้าวร้าวรุนแรงเป็นเด็กอารมณ์สับสน แปรปรวนประเภทพฤติกรรมแสดงออก 



ความก้าวร้าวนี้ต้องหมายถึง ความก้าวร้าวที่เกิดขึ้นบ่อยๆและรุนแรง ทั้งก้าวร้าวต่อตัวเอง ต่อผู้อื่นแบบตัวต่อตัว และแบบกลุ่มหนึ่งต่ออีกกลุ่มหนึ่ง ปัจจุบันเด็กกลุ่มนี้ทวีจำนวนมากขึ้นเรื่อยในทุกสังคม รวมทั้งประเทศไทยด้วย 
ความก้าวร้าวระดับปกติ เป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นกับใครก็ได้แต่ในที่นี้หมายถึง ระดับเป็นโทษเป็นภัยแก่ตัวผู้ก้าวร้าวและผู้อื่น สาเหตุที่ทำให้เด็กแสดงพฤติกรรมก้าวร้าว มีมากมายหลายประการ เมื่อเกิดกรณีขึ้น อาจเกิดจากสาเหตุเดียวหรือโดยมากร่วมกันหลายสาเหตุ 

สาเหตุต่างๆเหล่านี้ อาทิเช่น ต้องการแก้แค้นเพราะถูกกดดัน ความโกรธเกลียด อิจฉา เรียกร้องความสนใจ เอาใจเพื่อน เรียกร้องความรักจากพ่อแม่ผู้ปกครองหรือครู การเลียนแบบจากพ่อแม่บุคคลที่เด็กได้รู้เห็นจากสื่อประเภทต่างๆ หรือเพื่อนหัวโจกที่ตนนิยม ฯลฯ ในรายที่รุนแรง เขาฆ่าผู้อื่นถึงตายได้ ถ้าความก้าวร้าวรุนแรงมาก จนเด็กไม่รู้ถึงความเจ็บปวดของผู้อื่น ไม่รู้สึกผิดในการการะทำความก้าวร้าวรุนแรง เด็กเหล่านี้จะถูกจัดไปอยู่ในกลุ่มอันธพาล แม้เด็กพวกนี้จะถูกทำโทษเฆี่ยนตี ด่าว่า เขาก็จะไม่รู้สึกสะดุ้งสะเทือน 

สาเหตุความก้าวร้าวรุนแรงของเด็กบางกรณี เกิดจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของผู้ใหญ่ ผู้ซึ่งให้การสนับสนุนส่งเสริม ไม่ห้ามปรามเด็ก โดยเฉพาะเมื่อพ่อแม่ผู้ปกครองเด็กมีอิทธิพลทางการเงินหรือสังคม ความก้าวร้าวของเด็กทำให้ไม่มีผู้ใหญ่คนไหนหรือเพื่อนคนไหนอยากเกี่ยวข้องห้ามปรามหรือสั่งสอน 

การช่วยเหลือ เด็กที่มีความก้าวร้าวสูงให้ลดความก้าวร้าวลงไม่ใช่เรื่องง่าย จากผลการศึกษาในเรื่องการแก้ไขพฤติกรรมก้าวร้าวมีผู้ให้ข้อคิดเห็นว่า เป็นการไม่ถูกต้องเลยที่เด็กแสดงอาการก้าวร้าวออกมาอย่างอิสระเสรีปราศจากการยับยั้ง 

วิธีที่ควรกระทำคือ ให้เด็กได้มีโอกาสเลียนแบบตัวอย่างของบุคคลอื่นทั้งผู้ร่วมวัยและต่างวัย ผู้ซึ่งได้แสดงพลังทางรุกออกมาอย่างถูกวิธี ให้เด็กได้มีโอกาสระบายออกมาในการเล่นกีฬา กิจกรรมสร้างสรรค์ การเล่นบทบาทสมมุติ รวมทั้งแรงจูงใจและรางวัลพฤติกรรมที่ไม่ก้าวร้าว ผู้ใหญ่ต้องไม่ให้การสนับสนุนพฤติกรรมก้าวร้าวไม่ว่าแบบใดๆ สำหรับประเทศไทยเรามีข่าวเด็กวัยรุ่นยกพวกตีกัน ทำร้ายเพื่อน และฆ่าเพื่อน ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ต้องทำการแก้ไข ในวงการศึกษาระดับประถมและมัธยม นิยมว่า กิจกรรมการฝึกลูกเสือเป็นวิธีการแก้ไขอารมณ์สับสนแปรปรวนที่ดี นอกจากนี้การจัดให้เด็กมีโอกาสแสดงความรักความเมตตาต่อสัตว์ปกติและที่บาดเจ็บ เพื่อทำให้อารมณ์ก้าวร้าวลดลง ก็เป็นวิธีที่มีการเสนอแนะ 



ที่มา : กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข

ทฤษฎีสัมพัทธภาพ